ผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

ผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

ศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

01 ผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

ผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

          ก้าวสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองให้สอดคล้องกับจิตใจ ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน เทคนิคการผ่าตัดได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก ทำให้ผู้ที่ต้องการแปลงเพศสามารถบรรลุเป้าหมายและใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจในเพศที่ตนเองเลือก

          การตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต การศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจในขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ The SiB Clinic มีประสบการณ์และความชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศ เพื่อรับคำแนะนำและการประเมินที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

คุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ

          การผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชายเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ และมีคุณสมบัติเฉพาะที่ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรมี เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้ว คุณสมบัติเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่ความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงการใช้ชีวิตในบทบาทชายอย่างต่อเนื่อง

คุณสมบัติทั่วไปของผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย:

thesib 2 ผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

  • อายุ: ส่วนใหญ่กำหนดไว้อย่างน้อย 18-20 ปีบริบูรณ์ เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่ร่างกายและจิตใจพัฒนาเต็มที่ ในบางกรณี หากอายุต่ำกว่า 20 ปี อาจต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
  • การประเมินทางจิตวิทยา: นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องได้รับการประเมินจากจิตแพทย์อย่างน้อย 2 ท่าน เพื่อยืนยันว่ามีความเข้าใจในเรื่องการแปลงเพศอย่างถ่องแท้ มีภาวะ “Gender Dysphoria” หรือความไม่พึงพอใจในเพศกำเนิดอย่างแท้จริง และมีความพร้อมทางจิตใจที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
  • การใช้ชีวิตในบทบาทชาย: ส่วนใหญ่มักกำหนดให้มีการใช้ชีวิตในบทบาทชาย (Real-Life Experience หรือ RLE) อย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดมีความมั่นใจและปรับตัวเข้ากับบทบาทใหม่ได้
  • การบำบัดด้วยฮอร์โมน: โดยทั่วไปแล้ว จะต้องได้รับฮอร์โมนเพศชายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนการผ่าตัด เพื่อให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ต้องการ เช่น เสียงทุ้มลง มีขนขึ้น และการกระจายตัวของไขมันเปลี่ยนไป
  • สุขภาพร่างกาย: ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง หรือข้อห้ามในการดมยาสลบ
  • ความเข้าใจและการสนับสนุนจากคนรอบข้าง: การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน และคนรอบข้าง มีส่วนสำคัญต่อการปรับตัวหลังการผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของการผ่าตัดและความปลอดภัยของผู้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งครอบคลุมทั้งการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย จิตใจ และการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

1. การเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย:

  • สุขภาพโดยทั่วไป: ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง หรือภาวะที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัดและการดมยา เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงเพศเพื่อประเมินความพร้อม
  • การควบคุมน้ำหนัก: ควรมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (BMI น้อยกว่า 24) เนื่องจากภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน อาจเพิ่มความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัด
  • การงดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เนื่องจากสารในบุหรี่และแอลกอฮอล์มีผลต่อการไหลเวียนโลหิตและการหายของแผล
  • การหยุดยาบางชนิด: ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยา วิตามิน หรืออาหารเสริมที่ใช้อยู่ เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือมีปฏิกิริยากับยาที่ใช้ในการผ่าตัด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด วิตามินอี ควรหยุดยาเหล่านี้ตามคำแนะนำของแพทย์
  • การปรับฮอร์โมน: โดยทั่วไป ผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย จะได้รับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการปรับหรือหยุดฮอร์โมนก่อนการผ่าตัด ตามคำแนะนำของแพทย์
  • การตรวจร่างกายและประเมินผล: จะมีการตรวจร่างกายโดยละเอียด ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์ปอด และการตรวจอื่นๆ ตามความจำเป็น เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนการผ่าตัด

2. การเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจ:

  • การประเมินทางจิตวิทยา: การประเมินสภาพจิตใจโดยจิตแพทย์เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อยืนยันว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดมีความเข้าใจและมีความพร้อมทางด้านจิตใจในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Gender Dysphoria
  • การใช้ชีวิตแบบชาย: โดยทั่วไป แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่ต้องการแปลงเพศใช้ชีวิตแบบชาย (Real-Life Experience) เป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจแปลงเพศเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง
  • การพูดคุยกับผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัด: การพูดคุยกับผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดแปลงเพศ อาจช่วยให้เข้าใจถึงประสบการณ์และเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจได้ดียิ่งขึ้น
  • การสนับสนุนจากครอบครัวและคนใกล้ชิด: การได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจากครอบครัวและคนใกล้ชิด มีส่วนสำคัญในการฟื้นตัวทั้งทางร่างกายและจิตใจหลังการผ่าตัด

เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศ (หญิงเป็นชาย) 3 วิธี

ผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

1. สร้างอวัยวะเพศชายโดยการย้ายเนื้อจากต้นขาด้านนอก

  • ตัดมดลูกรักไข่ปิดช่องคลอดและย้ายตำแหน่งท่อปัสสาวะมาอยู่ที่

บริเวณตรงหัวเหน่า โดยอาศัยเนื้อเยือจากช่องคลอด

  • เตรียมสร้างท่อปัสสาวะที่ตำแหน่งต้นขาก่อนอย่างน้อย 4-6เดือน จากนั้นแพทย์จะทำการผ่าตัดย้ายเนื้อจากต้นขานอกที่เตรียมไว้ มาสร้างเป็นอวัยวะเพศชาย พร้อมกับต่อท่อปัสสาวะเดิมกับท่อปัสสาวะที่สร้างไว้ ให้ปัสสาวะออกมาที่ปลายอวัยวะเพศที่สร้างขึ้นมาใหม่

ข้อดี:

  • สร้างอวัยวะเพศชายได้ขนาดที่ใหญ่พอดี
  • สามารถใส่เครื่องมือที่ช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ดีกว่าแบบอื่น

ข้อเสีย:

  • ต้องใช้เครื่องมือที่ช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัว

2.การสร้างอวัยวะเพศชายโดยใช้เนื้อจากแขนด้านใน

  • การสร้างอวัยวะเพศชายโดยย้ายเนื้อจากแขนด้านใน โดยใช้จุลศัลยกรรม และใส่เครื่องมือที่ช่วยให้อวัยวะแข็งตัว

ข้อดี:

  • ท่อปัสสาวะหดตัวได้น้อย
  • ต่อเส้นเลือด เส้นประสาทได้ง่าย

ข้อเสีย:

  • ต้องใส่เครื่องมือที่ช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัว
  • เห็นแผลเป็นได้ชัด
  • อวัยวะเพศเนื้อบาง เมื่อใส่เครื่องมือช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัว

3.สร้างอวัยวะเพศชายที่มาจากน่องพร้อมกระดูกโดยต้องเตรียมฝังท่อปัสสาวะ

ที่น่องไว้6เดือนก่อนสร้างอวัยวะเพศชายทีมาจากน่องพร้อมกระดูก โดยการต่อเส้นเลือด เส้นประสาท แล้วทำการเชื่อมต่อท่อปัสสาวะ จากนั้นจึงเอาผิวหนังมาปิด

ข้อดี:

  • มีกระดูกที่ช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัว
  • สร้างอวัยวะเพศได้ขนาดพอดี
  • แผลเป็นสังเกตุได้ยาก

ข้อเสีย:

  • ใช้ระยะเวลาในการพักฝื้นนาน
  • ต้องช่วยขยายท่อปัสสาวะ ป้องกันการตีบตัน

การใส่ลูกอัณฑะ

  • โดยการใส่ลูกอัณฑะแทนที่ไขมันของแคมนอก โดยหลังจากการผ่าตัดสร้างอวัยวะเพศชายเรียบร้อยแล้ว

การดูแลหลังการผ่าตัดแปลงเพศ (หญิงเป็นชาย)

thesib ผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย

การดูแลหลังการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย เป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เพื่อให้แผลหายดี ฟื้นตัวได้เร็ว และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน ซึ่งการดูแลนี้ครอบคลุมทั้งการดูแลแผล การจัดการความเจ็บปวด การดูแลสุขภาพทั่วไป และการดูแลด้านจิตใจ

1. การดูแลแผลผ่าตัด:

  • การทำความสะอาดแผล: ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยทั่วไปจะมีการทำความสะอาดแผลวันละ 1-2 ครั้ง ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่แพทย์จัดให้ และปิดแผลด้วยผ้าก๊อซสะอาด ควรระมัดระวังไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วงแรก และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยตรง
  • การดูแลท่อระบาย: หากมีการใส่ท่อระบายเลือดหรือท่อปัสสาวะ ต้องดูแลตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การทำความสะอาดบริเวณรอบท่อ การเทน้ำจากถุงระบาย และระมัดระวังไม่ให้ท่อหลุดหรือพับงอ
  • การป้องกันการติดเชื้อ: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการใช้ยาปฏิชีวนะ และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดง มีหนอง หรือมีไข้ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์
  • การดูแลแผลบริเวณที่นำเนื้อเยื่อมาสร้างอวัยวะเพศ: หากมีการนำเนื้อเยื่อจากส่วนอื่นของร่างกายมาสร้างอวัยวะเพศ เช่น แขน ขา หรือหน้าท้อง ต้องดูแลแผลบริเวณนั้นเช่นกัน โดยทำความสะอาดแผล และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้แผลฉีกขาด
  • การดูแลแผลหลังการผ่าตัดสร้างท่อปัสสาวะ: หลังการผ่าตัดสร้างท่อปัสสาวะ อาจมีท่อยางฝังอยู่ที่แขน โดยมีรูเปิดสองจุด คนไข้ควรทำความสะอาดแผล และท่อปัสสาวะที่สร้างไว้ทุกวันตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด 1 (อ้างอิงจากข้อมูลจากโรงพยาบาลยันฮี)  

2. การจัดการความเจ็บปวด:

  • การใช้ยาแก้ปวด: แพทย์จะสั่งยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัด ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์
  • การประคบเย็น: ในช่วงแรกหลังการผ่าตัด อาจมีการประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและปวด แต่ควรหลีกเลี่ยงการประคบเย็นโดยตรงบนแผล และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ (อ้างอิงจากข้อมูลจาก HDmall)
  • การพักผ่อน: การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยลดความเจ็บปวดและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

3. การดูแลสุขภาพทั่วไป:

  • โภชนาการ: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ โดยเน้นโปรตีนเพื่อช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารหมักดอง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • การเคลื่อนไหว: เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายเบาๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วงแรก
  • การขับถ่าย: ควรดูแลเรื่องการขับถ่ายให้เป็นปกติ เพื่อลดการเบ่งที่อาจกระทบกระเทือนแผลผ่าตัด (อ้างอิงจากข้อมูลจาก HDmall)
  • การงดสูบบุหรี่: ควรงดสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องหลังการผ่าตัด เนื่องจากบุหรี่มีผลต่อการหายของแผล

4. การดูแลด้านจิตใจ:

  • การสนับสนุนทางจิตใจ: การผ่าตัดแปลงเพศเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจ ควรได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
  • การติดตามผลการรักษา: ควรไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามผลการรักษา และปรึกษาปัญหาหรือข้อสงสัยต่างๆ
  • การขยายช่องคลอด (สำหรับผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง): การขยายช่องคลอดด้วยเครื่องมือที่แพทย์จัดให้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการตีบตันของช่องคลอด ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด (อ้างอิงจากข้อมูลจาก drvitasna.com)

ระยะเวลาในการพักฟื้น:

ระยะเวลาในการพักฟื้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดและสุขภาพโดยทั่วไป โดยทั่วไป อาจต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์ และพักฟื้นที่บ้านอีกหลายสัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับระยะเวลาในการพักฟื้นที่เหมาะสม

สนใจถามสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 088-222-8660