รักษาสิว ทำอย่างไร ? รู้สาเหตุการเกิดสิว แก้ไขสิวอย่างตรงจุด
ปัญหาผิวที่พบได้มากที่สุดทั้งในเพศหญิง เพศชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น คือ “ปัญหาสิว” ครับ ทั้งสิวอุดตัน สิวผด สิวอักเสบ หรืออย่างรุนแรงคือสิวหัวช้าง สิวซีสต์ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ อาจทำให้สิวรุนแรงขึ้นและทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวถาวรได้
ในบทความนี้ หมอจะอธิบายตั้งแต่สาเหตุของการเกิดสิว เป็นสิวใช้อะไรดี ? การรักษาสิวให้ถูกวิธี ทำได้อย่างไรบ้าง ? วิธีรักษาสิวด้วยตนเอง วิธีรักษาสิวด้วยยา วิธีรักษาสิวด้วยหัตถการและเครื่องมือแพทย์ วิธีไหนเห็นผลเร็วที่สุด สิวหายถาวร รวมถึงการรักษารอยดำ รอยแดง หลุมสิว และการดูแลผิวไม่ให้กลับมาเป็นสิวซ้ำอีก หมอได้รวบรวมไว้ในบทความนี้แล้วครับ
สาเหตุการเกิดสิว
สิวเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามปกติของร่างกาย สภาวะแวดล้อม พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงสุขอนามัยของแต่ละบุคคล ทำให้เกิดสิวในลักษณะต่าง ๆ ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้แตกต่างกัน หมอสรุปสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิวได้ดังนี้ครับ
สิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ทุกคนเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วยวัยรุ่น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Androgen เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเพศชาย ซึ่งฮอร์โมนนี้ จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้น ผลิตไขมันออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน จนเกิดเป็นสิวอุดตันได้ และถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ถูกวิธี อาจจะทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบตามมาได้ครับ
ในเพศหญิง ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน Progesterone เพิ่มสูงขึ้นตามรอบเดือนครับ ทำให้มีสิวเห่อช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือขณะมีประจำเดือน เกิดจากฮอร์โมนกระตุ้นให้รูขุมขนบวมจากการคั่งของน้ำในร่างกาย รูขุมขนอุดตันมากขึ้น มีการสะสมของไขมันในรูขุมขุน เกิดเป็นสิวอุดตันได้ในที่สุดครับ
การใช้เครื่องสำอาง การใช้ครีม โลชั่นทาผิว
ครีม แป้ง เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ทาลงผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือผิวลำตัว มีโอกาสเข้าไปอุดตันรูขุมขนและเกิดสิวตามมาได้ครับ ในผู้ที่มีปัญหาสิวบ่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือถ้าจำเป็นต้องใช้ ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และมีน้ำเป็นส่วนประกอบ (oil-free, water-based) และควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ประเภท noncomedogenic และ non-acnegenic ครับ
การรับประทานอาหาร
ในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่มีงานวิจัยใดที่รองรับว่าอาหารเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวครับ หมอแนะนำว่าหากรับประทานชนิดใดบ่อย ๆ แล้วสังเกตเห็นสิวเพิ่มมากขึ้น ให้หลีกเลี่ยงหรือหยุดรับประทานอาหารชนิดนั้น ๆ โดยเฉพาะอาหารรสหวาน มัน ของทอด ที่มีแป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดสิวอักเสบครับ
พฤติกรรมการใช้ชีวิต
บางคนอาจสังเกตได้ว่าเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียด สูบบุหรี่ หรือไม่ทำความสะอาดร่างกายให้ดี จะพบสิวขึ้นได้ง่ายกว่าในช่วงปกติ ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมการใช้ชีวิต และจุลชีพบนผิวเจริญได้มากขึ้น จึงเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบครับ
มลภาวะและสิ่งแวดล้อม
ฝุ่นละออง ควัน มลพิษทางอากาศ จะมีอนุภาคขนาดเล็กที่สามารถเกาะติดและอุดตันรูขุมขนได้ ทำให้เกิดสิวได้ในที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายอาจจะไวต่อการเกิดสิวได้มากขึ้น และการสวมหน้ากากอนามัย ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เนื่องจากผิวจะเกิดการเสียดสีและหน้ากากอับชื้นจากลมหายใจ แบคทีเรียที่ผิวจะเจริญที่รูขุมขนได้มากขึ้น บางคนเรียกว่าการแพ้หน้ากากอนามัยครับ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้หลีกเลี่ยงได้ยาก จึงต้องทำความสะอาดและดูแลผิวหน้าให้มากขึ้นครับ
ภาวะแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism/Hyperandrogenemia)
ภาวะแอนโดรเจนเกินเป็นภาวะที่ร่างกายผลิตฮอร์โมน Androgen มามากเกินไป เกิดได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย โดยเฉพาะในเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์ ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมาเป็นจำนวนมาก มักจะทำให้เกิดสิวระยะรุนแรงและเกิดขึ้นรวดเร็ว ร่วมกับมีขนขึ้นตามร่างกายมากกว่าปกติ ผมร่วง ศีรษะล้าน ประจำเดือนมาไม่ปกติ โรคที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้แก่ PCOS, CAH, Adrenal neoplasia และ Ovarian neoplasms
รวมวิธีรักษาสิว
การรักษาสิว วิธีทำให้หน้าใสไร้สิว มีหลายวิธีมากครับ ขึ้นกับลักษณะของสิวที่เกิดขึ้นว่าเป็นสิวประเภทไหน ความรุนแรงของสิว รวมไปถึงบริเวณที่เกิดสิว เช่น สิวบนใบหน้า สิวที่หลัง เป็นต้น ซึ่งการรักษาสิวที่ถูกวิธี จะเน้นไปที่การลดรอยสิวเดิมและป้องกันการเกิดสิวใหม่เป็นหลักครับ
วิธีรักษาสิวด้วยตนเอง
หากสิวยังไม่รุนแรงมาก สามารถรักษาได้ด้วยตัวเองในเบื้องต้น แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีครับ หมอแนะนำดังนี้
งดแคะ แกะ เกา หรือบีบสิว
หลายคนพอเป็นสิวก็มักจะชอบแกะหรือบีบ ไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ เพราะมือของเราอาจมีเชื้อโรคจากการสัมผัสสิ่งสกปรกต่าง ๆ เวลามาจับบริเวณที่เป็นสิว จะกระตุ้นให้สิวอักเสบ ถ้าบีบเคล้น ก็อาจทำให้เกิดแผล เลือดออก กลายเป็นรอยแผลเป็น และหลุมสิวได้
ล้างหน้าให้สะอาด
การดูแลรักษาสิว ต้องให้ความสำคัญเรื่องความสะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก ฝุ่น คราบมันต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้า ไม่ควรใช้สบู่ล้างหน้าครับ เพราะสบู่มีส่วนผสมที่ให้ความเป็นด่าง อาจทำให้ผิวแห้งและกระตุ้นการผลิตน้ำมัน ทำให้สิวขึ้นได้อีกครับ
ใช้สกินแคร์สูตรอ่อนโยน
การรักษาสิวต้องทำควบคู่กับการดูแลผิว ในช่วงที่เป็นสิวอาจจะต้องปรับเปลี่ยนสกินแคร์ที่ใช้ เลือกที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม เพื่อลดการอุดตัน แนะนำเป็นโทนเนอร์ช่วยลดความมันบนใบหน้าและปรับสมดุลผิว เซรั่มลดสิว บำรุงผิวให้ความชุ่มชื้น สลายสิวอุดตัน และลดการอักเสบของผิว
ใช้สกินแคร์ที่มีสารต้านสิว
อาจจะต้องพลิกหลังกล่องเพื่อดูส่วนผสมของสกินแคร์ที่ใช้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านสิว เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid), เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), ทีทรีออยล์ (Tea tree oil) ซึ่งมีฤทธิ์สลายสิวอุดตัน ลดการอักเสบและกำจัดแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องกับสิวครับ
ทาครีมกันแดด
ในระหว่างรักษาสิว ควรทาครีมกันแดดด้วยครับ มีการวิจัยว่ารังสียูวีในแสงแดดจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น (เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส ผิวจะผลิตน้ำมันมากขึ้น 10%) นอกจากนี้รังสียูวียังก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน กระตุ้นให้สิวไม่มีหัวกลายเป็นสิวอักเสบได้ครับ ควรเลือกครีมกันแดดที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (Non-Comedogenic) สูตรอ่อนโยน คุมมัน ไม่อุดตัน
ทาครีมลดรอยสิว
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี, คอร์ติโซน (Cortisone), กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid), อาร์บูติน (Arbutin), กรดโคจิก (Kojic Acid), เซราไมด์ (Ceramide), วิตามินบี 3, ไนอะซิน (Niacin) เพื่อช่วยในการลดการอักเสบของผิวหนัง และทำให้รอยสิวจางลง แต่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ รวมไปถึงควรปรึกษาเภสัชก่อนใช้ยา เพื่อให้เหมาะกับผิวและปัญหาของแต่ละคนมากที่สุด
งดแต่งหน้า
การแต่งหน้าในช่วงที่เป็นสิว อาจทำให้สิวแย่ลง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคือง อุดตันรูขุมขนและกระตุ้นการเกิดสิวได้ หากต้องการรักษาสิวอักเสบให้หายขาด ควรงดก่อนครับ แต่ถ้างดไม่ได้ เพราะบางคนอาจจะต้องการการปกปิด เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ควรเลือกเป็นเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดสิว และล้างหน้าให้สะอาดครับ
มาสก์หน้า
มาสก์หน้าสำเร็จรูปมีหลายแบบ ที่นิยมจะเป็นมาสก์แบบแผ่น มาสก์แบบแท่ง มีหลายสูตรให้เลือกครับ ควรเลือกให้เหมาะกับปัญหาผิวในช่วงนั้น ๆ อย่างช่วงเป็นสิว ควรเลือกสูตรที่เน้นการปลอบประโลมผิวจากสิว จากการระคายเคือง ต้านการอักเสบ ดูดซับสิ่งสกปรก และให้ความผ่อนคลาย สบายผิว
ใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
ว่านหางจระเข้ หอมแดง ไข่ขาว มะนาว มะละกอ มะเขือเทศ มีสารช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เป็นวิธีที่ใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เนื่องจากแต่ละคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน อาจจะไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนและอาจเกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังครับ
สครับหน้าลดรอยสิว
หลายคนใช้วิธีรักษาสิวด้วยตนเองแล้วสิวหาย แต่ยังหลงเหลือรอยดำ รอยสิว การสครับหน้าเป็นวิธีที่ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอก รอยสิวจางลง สีผิวสม่ำเสมอกันมากขึ้นครับ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีส่วนผสมที่ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นเข้าไปด้วย หลังสครับหน้าผิวจะได้ไม่แห้ง ไม่ควรทำบ่อยเกินไป 1-2 ครั้ง/อาทิตย์ ก็เพียงพอครับ
งดน้ำตาล
การปรับพฤติกรรมมีส่วนสำคัญในการรักษาสิว โดยเฉพาะพฤติกรรมการกิน มีการศึกษาวิจัยครับว่าอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (G.I.) สูงหรืออาหารที่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เช่น ขนมหวาน เค้ก ช็อกโกแลต หรือผลิตภัณฑ์จากนม จะกระตุ้นการเกิดสิว ทำให้เกิดสิวเห่อได้จริง ในช่วงรักษาสิวถ้างดได้ควรงดก่อนครับ
รับประทานอาหารที่ช่วยลดสิว
น้ำตาลกระตุ้นให้สิวเห่อ อาหารที่เลือกกินในช่วงที่รักษาสิวด้วยตนเอง จึงควรเป็นอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลกลาง-ต่ำ เช่น ถั่ว อัลมอนด์ ธัญพืช (ควินัว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรซ์เบอรี) ผลไม้น้ำตาลน้อย ไฟเบอร์สูง (ฝรั่ง แอปเปิ้ล ส้ม) ผักใบเขียว (คะน้า บรอกโคลี) เนื้อสัตว์ ไขมันดี ไขมันน้อย (ไก่ ปลา แซลมอน ทูน่า)
ดื่มน้ำเยอะ ๆ
การดื่มน้ำ ส่งผลต่อสุขภาพผิวที่ดีและมีผลบางประการต่อสิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้านที่ทำให้ผิวต้องผลิตน้ำมันออกมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว เพิ่มการทำงานของระบบขับถ่าย ลดการสะสมของสารพิษในร่างกายที่อาจส่งผลให้เกิดสิว โดยแต่ละวันควรดื่มน้ำ 200 มิลลิลิตร (8-9 แก้ว)
พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับที่เพียงพอมีส่วนสำคัญในการรักษาสิว ส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันและระบบฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยลดระดับความเครียด ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการอุดตันรูขุมขนและเกิดสิว ซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว เพิ่มการผลิตคอลลาเจนและช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสครับ
ออกกำลังกายลดเครียด ลดสิว
การออกกำลังกาย ช่วยลดความเครียด และยังช่วยลดสิวที่เกิดจากความเครียดได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้เลือดนำออกซิเจนและสารอาหารไปยังผิวหนังได้ดีขึ้น ช่วยกำจัดของเสียออกจากเซลล์ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวดูสุขภาพดีครับ
การรักษาสิวโดยใช้ยาทาเฉพาะที่
การรักษาสิวโดยใช้ยาทาบริเวณที่เกิดสิว สามารถรักษาได้ทั้งสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้า รักษาสิวอักเสบ สิวที่หน้าอก สิวที่หลัง โดยเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิวไม่รุนแรง เช่น สิวผด สิวไม่มีหัว กลุ่มยาทาที่ใช้รักษาสิว ได้แก่
กลุ่มยาปฏิชีวนะ ใช้ทาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการทำให้เกิดสิวอักเสบ
benzoyl peroxide ช่วยลดการระคายเคืองของผิว
Retinoid หรืออนุพันธ์วิตามิน A มีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นเกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดการอุดตันรูขุมขน และเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว
นอกจากนี้ ยาทารักษาสิวยังมีส่วนผสมของยากลุ่มอื่น ๆ ที่ทำให้การรักษาสิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น Salicylic acid, Azelaic acid และ sulfur เป็นต้นครับ
ในการทายารักษาสิว แพทย์จะแนะนำให้ทาทิ้งไว้ 5-10 นาที ทำต่อเนื่อง 6-8 สัปดาห์ครับ วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ต้องเจ็บตัว ทำได้ง่าย แต่มีข้อควรระวังคือจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย อาจทำให้เกิดรอยแดง แห้งหรือลอกได้ จึงควรทาบาง ๆ และเริ่มที่ปริมาณน้อย ๆ และการใช้ยาปฏิชีวนะเพียงอย่างเดียวต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ครับ
การรักษาสิวโดยการทานยา
การรักษาสิวโดยใช้การทานยา เหมาะกับผู้ที่สิวอักเสบปานกลางถึงระยะรุนแรง ที่ไม่สามารถรักษาสิวด้วยการทายาอย่างเดียวได้ โดยยาที่แพทย์จ่ายเพื่อรักษาสิว ได้แก่
ยาปฏิชีวนะ เช่น Tetracyclin, Macrolides และ Amoxycilin เป็นต้น เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ
ยาปรับฮอร์โมน ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (Oral Contraceptives) และยากลุ่ม Gonadotropin-Releasing Hormone Agonists (GnRH Agonists) เช่น Spironolactone เพื่อลดระดับฮอร์โมน ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้าง testosterone และ block androgen receptors ที่ทำให้เกิดสิว
ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามิน A (Isotretinoin) จะใช้ในรายที่มีสิวอาการรุนแรง ดื้อยาปฏิชีวนะ หรือสิวที่มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดแผลเป็น โดยยามีฤทธิ์กดการทำงานของต่อมไขมันทำให้ผลิตไขมันลดลง ลดปริมาณเชื้อ P. acnesลดการอักเสบของสิว และยับยั้งการสร้างคอมีโดน (comedone)
การรักษาสิวอักเสบโดยการรับประทานยา ไม่ควรซื้อยาทานเองโดยเด็ดขาด ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะยาที่ใช้ในการรักษา อาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง ซึ่งต้องระมัดระวังในผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ เพราะอาจทำให้มีการระคายเคือง ส่งผลต่อการทำงานของตับ กล้ามเนื้อ ไขมันในร่างกาย และไม่ควรทานยาขณะตั้งครรภ์ เพราะจะส่งผลให้ทารกเกิดความพิการได้ครับ
การรักษาสิวโดยวิธีทางกายภาพ
การกดสิว
การรักษาสิวด้วยการกดสิว เป็นวิธีที่นิยมทำเพื่อรักษาสิวอุดตัน มีจุดประสงค์เพื่อนำหัวสิวอุดตันที่อยู่ใต้ผิวหนังออกได้เร็วขึ้น ลดโอกาสเกิดสิวอักเสบ คนส่วนใหญ่มักจะบีบสิว กดสิวออกด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องครับ เพราะอาจจะทิ้งรอยดำ รอยแดง หลุมสิว ที่ยากต่อการแก้ไขได้ หมอแนะนำให้กดสิวกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและเครื่องมือสะอาดปลอดเชื้อเท่านั้นครับ
การฉีดยาใต้หัวสิว, การฉีดสิว
การรักษาสิวโดยการฉีดยา การฉีดสิว ใช้เพื่อรักษาสิวอักเสบแบบตุ่ม สิวหนอง และสิวอักเสบลึก สิวซีสต์ สิวหัวช้าง โดยใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ฉีดเข้าไปใต้หัวสิว (Intralesional corticosteroid injections) เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบที่เห็นผลเร็ว
แต่การฉีดสิวอาจพบผลข้างเคียงคือเกิดรอยบุ๋มรอบจุดที่ฉีดหลังผ่านไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ มีอาการช้ำจากการฉีด ผิวหนังอักเสบ และกลายเป็นรอยแผลเป็นถาวรได้ ควรฉีดสิวกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค เช่น โรคเบาหวานชนิดควบคุมอาการไม่ได้ หัวใจวาย ความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง โรคสะเก็ดเงิน และผู้มีประวัติแพ้ยาไตรแอมซิโนโลน ควรหลีกเลี่ยงการฉีดสิวครับ
วิธี Chemical peeling
การรักษาสิวด้วยวิธี Chemical peeling หรือการผลัดเซลล์ผิวโดยใช้สารเคมี คือการนำสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น AHA, BHA หรือ TCA ทาลงไปที่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังชั้นนอกเกิดการหลุดลอกออกและร่างกายจะสร้างผิวชั้นบนขึ้นมาใหม่ เกิดการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นผิวมากขึ้น ผิวจึงนุ่ม เรียบเนียนและช่วยลดการอุดตันของสิว ลดการเกิดสิวได้ครับ
สารเคมีแต่ละตัวที่จะนำมาใช้ มีความสามารถในการซึมผ่านชั้นผิวที่ความลึกแตกต่างกัน และความเข้มข้นที่ใช้ก็ส่งผลต่อผลการรักษา ดังนั้นควรเข้ารับการรักษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นครับ
การรักษาเสริม adjunctive therapy
การใช้สกินแคร์เพื่อรักษาสิว
การทาครีม ทาสกินแคร์ เพื่อรักษาสิวเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ต้องเจ็บตัว เหมาะกับคนที่มีสิวไม่มาก อยู่ในระยะไม่รุนแรงจนถึงระยะปานกลาง ผลการรักษาขึ้นอยู่กับการเลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิวครับ
ในการลดปัญหาสิวควรเลือกใช้สกินแคร์สูตรอ่อนโยน มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์, AHA และ BHA เป็นต้น และควรเป็นสกินแคร์ประเภท Water-based หรือ silicone-based (cyclomethicone, dimethicone) หลีกเลี่ยงสกินแคร์ประเภท oil-based หรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบบกันน้ำ (Waterproof)
แต่การใช้สกินแคร์จะต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ต้องทำต่อเนื่องนานหลายเดือน ไม่เหมาะกับผู้ที่มีสิวเป็นจำนวนมาก หรือต้องการเห็นผลเร่งด่วนครับ
การฉีดเมโสหน้าใส ฉีดวิตามินผิว
การฉีดเมโสหน้าใส เป็นการรักษาสิวที่บำรุงผิวหน้าจากผิวชั้นในโดยตรง โดยจะฉีดตัวยาที่เป็นสารสกัดที่มีประโยชน์ต่อผิว รวมถึงวิตามินเข้าสู่ชั้นผิว เทียบได้กับการนำส่วนผสมที่มีอยู่ในครีมต่าง ๆ เข้าสู่ผิวโดยตรง โดยเฉพาะสารที่ดูดซึมยาก ทำให้เห็นผลได้ไวกว่าการทาครีมครับ
การฉีดเมโสหน้าใส เป็นการฉีดเพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่เป็นหลัก โดยจะช่วยบำรุง ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพและแก้ปัญหาต่าง ๆ บนผิวหน้า ทำให้ผิวชุ่มชื้น ขาวกระจ่างใส ลดการอักเสบ ช่วยขับสารพิษที่สะสมและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้ แก้ไขปัญหาหน้าโทรม นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยดำ รอยแดงจากสิวให้ดูจางลง ลดรูขุมขนกว้างได้ครับ
การฉีดเมโสหน้าใสจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ตั้งแต่ช่วง 3 วันแรก ผิวจะดูชุ่มชื้น ตึงใสขึ้น แนะนำให้ทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้งในช่วง 1 เดือนแรกและทิ้งระยะห่างเป็น 2-3 ครั้งต่อเดือนในเดือนถัดไปเพื่อให้คงสภาพผิวที่แข็งแรง ดูสุขภาพดีไว้ รอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิวจะจางลง สิวอุดตันน้อยลงได้ครับ
ตัวยาสำหรับการฉีดเมโสหน้าใสมีหลายยี่ห้อ โดยแต่ละสูตรจะช่วยบำรุงผิวในด้านที่แตกต่างกัน สูตรที่นิยมคือ การฉีดมาเด้คอลลาเจน การฉีด REVs, Tensonez และ Neo glutanex เป็นต้น